GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
บทความ
เข้าสู่ระบบ
ผลการค้นหา : "Monster Hunter: Rise"
Monster Hunter: Rise ปล่อยอัลบั้มเพลงประกอบให้ฟังทาง Spotify ได้แล้ววันนี้
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบเพลงประกอบอันยอดเยี่ยมของเกม Monster Hunter: Rise ล่าสุดทางผู้พัฒนา Capcom ได้ปล่อยอัลบั้มเพลงประกอมทั้งหมดของเกมให้ผู้เล่นได้ฟังกันผ่าน Spotify และบริการสตรีมมิ่งเพลงอื่นๆ แล้ว โดยภายในอัลบั้มจะประกอบไปด้วยเพลงจำนวน 109 เพลงเลยทีเดียว ทั้งนี้ ด้วยเหตุผลด้านลิขสิทธิ์ อาจทำให้ในบางพื้นที่มีการจำกัดเพลงที่สามารถฟังได้ผ่าน Spotify (ในประเทศไทยฟังได้แค่ 6 จาก 109 เพลงเท่านั้น) แต่ผู้ที่ใช้บริการ Apple Music จะสามารถเข้าถึงเพลงทั้งอัลบั้มได้ รวมไปถึงสามารถซื้อเพลงทั้งอัลบั้มมาเก็บไว้ได้ในราคา 4,500 เยน (หรือราว 1,300 บาท)Monster Hunter: Rise ถือเป็นเกมที่ทำยอดขายได้ดีที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของผู้พัฒนา Capcom โดยในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมามีรายงานว่าเกมได้ทำยอดขายถึง 5 ล้านชุดแล้วทั่วโลก ทำให้เกมขึ้นแท่นเป็นเกมเฉพาะแพลตฟอร์ม (Switch Exclusive) ที่ขายดีที่สุดในประวัตอศาสตร์ของค่ายเลยทีเดียวCredit: Siliconera
20 May 2021
Capcom เตรียมจัดรายการไลฟ์สตรีมซีรีส์ Monster Hunter เพื่อเผยรายละเอียดเกี่ยวกับ Rise และ Stories 2 อีกครั้ง
ผู้พัฒนา Capcom ได้ประกาศยืนยันว่าจะมีการจัดรายการไลฟ์สตรีมเพื่อพูดถึงเกม Monster Hunter: Rise และ Monster Hunter Stories 2: Wings of Ruin อีกครั้งในวันที่ 27 เมษายนนี้ เวลา 21:00 น. (เวลาไทย) ซึ่งคาดว่าจะเป็นการเปิดเผยวันปล่อยอัปเดทใหญ่ครั้งแรกสำหรับเกม Monster Hunter: Rise รวมถึงอัปเดท 2.0 ที่จะตามมาในอนาคตอีกด้วยสำหรับรายละเอียดที่จะเปิดเผยเกี่ยวกับเกม Monster Hunter Stories 2: Wings of Ruin ยังไม่แน่ชัด แต่ Capcom ยืนยันว่าจะพูดถึงอัปเดท Free Title Update ของ Monster Hunter: Rise ที่จะเพิ่มมอนส์เตอร์อย่าง Chameleos และ Apex Rathalos เข้าไปในเกมช่วงสิ้นเดือนเมษายนนี้ โดยอาจจะมีการพูดถึงรายละเอียดของอัปเดทครั้งต่อไปที่ว่ากันว่าจะเพิ่มตอนจบของเนื้อเรื่องเข้าไปด้วยMonster Hunter: Rise วางจำหน่ายแล้วสำหรับ Nintendo Switch (มีเวอร์ชัน PC ตามมาปี 2022) ในขณะที่ Monster Hunter Stories 2: Wings of Ruin จะวางจำหน่ายในวันที่ 9 กรกฏาคมนี้Credit: https://www.siliconera.com/april-2021-monster-hunter-digital-event-will-discuss-rise-and-stories-2/
23 Apr 2021
Monster Hunter: Rise วิธีปลดล๊อคชุดเกราะเซ็ตลับทั้ง 11 ชุด
องค์ประกอบหนึ่งที่ขาดไปไม่ได้ในเกม Monster Hunter ทุกภาค ก็คือระบบการคราฟติ้งอาวุธชุดเกราะโดยใช้วัตถุดิบที่ได้จากการล่ามอนส์เตอร์นั่นเอง เช่นเดียวกันกับในเกมภาค Rise ที่มีชุดเกราะประจำตัวแย้แต่ละชนิดที่ล้วนมีสกิลติดตัวของตัวเอง ให้ผู้เล่นสามารถผสมผสานกับชิ้นส่วนจากชุดอื่นๆ เพื่อให้ตัวละครของเรามีความสามารถดังใจแต่รู้หรือไม่ว่า นอกจากชุดเกราะที่ปลดล๊อคจากการล่าแย้แต่ละชนิด และชุดเกราะที่ปลดล๊อคตามเนื้อเรื่อง ภายในเกม Monster Hunter: Rise ยังมีชุดเกราะอีกจำนวนมากที่แอบซ่อนเอาไว้ และจะปลดล๊อคต่อเมื่อทำเงื่อนไขบางอย่างสำเร็จแล้วเท่านั้น โดยในวันนี้เราจะมาแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับชุดเกราะเซ็ตลับทั้ง 11 ชนิด พร้อมเปิดเผยวิธีปลดล๊อค ให้ทุกคนได้มีทางเลือกมากขึ้นทั้งในด้านแฟชั่นและการผสมผสานสกิลที่เราต้องการ ไปดูกันเลย!คำอธิบายเซ็ตเกราะลับปกติแล้วเซ็ตชุดเกราะส่วนใหญ่ในเกม Monster Hunter: Rise จะปลดล๊อคก็ต่อเมื่อเราเก็บชิ้นส่วนของแย้ที่จำเป็นต้องใช้ในการสร้างชุดเกราะนั้นมาได้ ไม่ว่าจะจากการล่าหรือการเก็บเป้นเม็ดเรืองแสงตามพื้นก็ตาม แต่สำหรับชุดเกราะลับเหล่านี้ มักจะต้องใช้ไอเทมหายากที่ได้รับจากการส่งน้องหมาน้องแมวของเราออกไปทำภารกิจ Meowcenary หรือจากการค้าขายผ่านเรือดำน้ำ Argosy เท่านั้น ซึ่งไอเทมแรร์แต่ละชนิดก็จะมีเงื่อนไขในการเก็บต่างๆ กันไปเซ็ตเกราะจากการกิจ MeowcenaryChaos: เก็บ Shadeshroom (เห็ด) จากแผนที่ Shrine RuinsEdel: เก็บ Stargazer Bloom (พืช/สมุนไพร) จากแผนที่ Frost IslandsDeath Stench: เก็บ Sinister Darkcloth (สุ่ม) จากแผนที่ Sandy PlainsMosgharl: เก็บ Omegapumpkin (พืช/สมุนไพร) จากแผนที่ Flooded ForestJelly: เก็บ Gothjelly (ปลา) จากแผนที่ Lava Cavernsเซ็ตเกราะจากเรือดำน้ำ ArgosySkalda (ชาย) / Spio (หญิง): ใช้ Toxic Kumori จากการสั่งไอเทมหมวดสมุนไพร (Herb) Aelucanth (ชาย) / Rhopessa (หญิง): ใช้ Butterfly Beetle จากการสั่งไอเทมหมวดเห็ด (Mushroom) หรือแมลง (Bug)Shell-Studded: ใช้ Dreamshell จากการสั่งไอเทมหมวดเห็ด (Mushroom) หรือแมลง (Bug)Melahoa: ใช้ Dosbiscus จากการสั่งไอเทมหมวดสมุนไพร (Herb) หรือเมล็ดพืช (Seed)Vaik: ใช้ Armored Bream จากการสั่งไอเทมหมวดสมุนไพร (Herb) หรือปลา (Fish)Makluva: ใช้ Springnight Carp จากการสั่งไอเทมหมวดสมุนไพร (Herb) หรือเมล็ดพืช (Seed)วิธีการและคำแนะนำสำหรับการหาไอเทมแรร์สำหรับการหาไอเทมแรร์จากภารกิจ Meowcenary ให้คอยสังเกติสัญลักษณ์แสงระยิบระยับข้างๆ ชื่อแผนที่และบนแผ่นป้ายบอกชนิดไอเทม ซึ่งจะบ่งบอกว่าเรามีโอกาสที่จะได้ไอเทมแรร์ตามแผ่นป้ายเพิ่มขึ้น เช่นถ้าเราต้องการหาไอเทม Gothjelly จากด่าน Lava Caverns ก็ให้ส่งหน่วยแมวเหมียวออกไปในเส้นทางที่มีแผ่นป้าย "ปลา" ติดประกายระยิบระยับ จะทำให้มีโอกาสได้ไอเทมมามากขึ้น แต่ก็ไม่ได้รับประกันว่าจะได้ทุกครั้งเช่นกันในส่วนของจากเรือ Argosy จะเปลี่ยนไปตามชนิดของสินค้าที่เราส่งสัตว์เลี้ยงไปหา เช่นถ้าหาสินค้าประเภทพืชสมุนไพร ก็จะมีสิทธิ์ได้รับ Toxic Kumori หรือ Armored Bream ในขณะที่ถ้าส่งไปหาไอเทมชนิดแมลง ก็จะได้รับไอเทมชนิด Dreamshell หรือ Butterfly Beetle เป็นต้น โดยเราก็เพียงต้องเลือกประเภทสินค้าให้ตรงกับไอเทมที่อยากได้ จากนั้นก็ได้แต่รอและลุ้นให้สัตว์เลี้ยงของเรานำของกลับมาให้ แต่ถ้าคุณเลือกส่งสัตว์เลี้ยงที่มีเลเวลอย่างน้อย 35 ออกไปค้าขาย จะสามารถใช้ความสามารถ Shiny Bargain เพื่อเพิ่มโอกาสรับของแรร์ได้ด้วย การปลดล๊อคเกราะเหล่านี้จึงจำได้ง่ายขึ้นในช่วงหลังๆ ของเกม (แต่ก็ปลดล๊อคได้ตั้งแต่ต้นเกมถ้าโชคดี)คำแนะนำที่ควรคำนึงถึงอีกอย่าง ไม่ว่าคุณจะหาไอเทมจาก Meowcenary หรือ Argosy คือควรใช้ไอเทม Lagniapple ควบคู่ไปด้วยเสมอเวลาต้องการหาของแรร์ เพราะพวก Lagniapple นี้จะเพิ่มจำนวนของที่หาได้ ซึ่งก็ส่งผลให้เรามีโอกาสมากขึ้นที่จะได้ของแรร์ไปด้วย
05 Apr 2021
Monster Hunter: Rise "ตำแหน่งและเควสปลดล๊อค Sub-Camp ทั้งหมดในเกม"
ในระหว่างการออกล่าแย้ไปตามแผนที่ต่างๆ ในเกม Monster Hunter: Rise เชื่อว่านักล่าหลายคนน่าจะเคยประสบปัญหาเรื่องของหมดระหว่างที่ล่า ไม่ว่าจะเป็นพวกยา Potion และยาแก้สถานะผิดแกติทั้งหลาย หรือสำหรับสายยิงปืน/ยิงธนูอาจจะต้องคอยห่วงเรื่องกระสุนและยาเคลือบหมดด้วยแต่ครั้นจะบินกลับไปเอาของเพิ่มที่แคมป์หลักแล้ววิ่งกลับมาหามอนส์เตอร์ใหม่ก็ดูจะเสียเวลา เกมจึงได้เพิ่มระบบ Sub-Camp หรือแคมป์ย่อยๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ในแต่ละแผนที่ ทำให้เราสามารถแวะเติมไอเทมได้อย่างสะดวก แถมแคมป์ย่อยเหล่านี้ยังทำหน้าที่เป็นจุด Fast-Travel ให้เราวาร์ปไปมาอย่างรวดเร็วได้อีกด้วย จะได้ต้องเสียเวลาวิ่งไปหาแย้อีกต่อไปทั้งนี้ การจะปลดล๊อคจุด Sub-Camp เหล่านี้ได้ ผู้เล่นจะต้องตามหาตำแหน่งของมันในแผนที่ให้เจอเสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับมารับภารกิจเสริม (Request) จากพ่อค้า Kagero ที่หมู่บ้านอีกทีเพื่อปลดล๊อค เพื่อให้การออกล่าแต่ละครั้งของทุกคนเป็นไปอย่างสะดวกมากขึ้น เราจึงได้รวบรวมตำแหน่งและรายละเอียดภารกิจการปลดล๊อคแคมป์ย่อยทั้งหมดในเกมมาให้คุณแล้ว!แผนที่ Shrine Ruins (1 แคมป์)ตำแหน่ง: อยู่บนเชิงเขาเล็กๆ บริเวณด้านบนของเขต 10ภารกิจ: ล่ามอนส์เตอร์ขนาดเล็ก Izuchi จำนวน 8 ตัวในแผนที่ Shrine Ruinsแผนที่ Frost Islands (2 แคมป์)ตำแหน่ง 1: อยู่บริเวณบ่อน้ำระหว่างเขต 6 และ 7 (ต้องใช้ Wirebug ปีนข้ามกำแพงไป)ภารกิจ 1: ล่ามอนส์เตอร์ขนาดเล็ก Zamite จำนวน 8 ตัวในแผนที่ Frost Islands (หาได้ในบ่อน้ำตรงเขต 4 และในเขต 8 กับ 11)ตำแหน่ง 2: บนเชิงเขาระหว่างเขต 8 และ 10ภารกิจ 2: มอบไอเทม Warm Pelt x2 (จากตัว Kelbi หรือ Anteka) และ Monster Bone S x4 ให้แก่ Kageroแผนที่ Sandy Plains (2 แคมป์)ตำแหน่ง 1: อยู่บนเขาบริเวณมุมขวาบนของเขต 2ภารกิจ 1: ล่ามอนส์เตอร์ขนาดเล็ก Kestodon จำนวน 8 ตัวในแผนที่ Sandy Plainsตำแหน่ง 2: ลอดช่องเล็กๆ ในกำแพงตรงทางเชื่อมระหว่างเขต 8 และ 9ภารกิจ 2: มอบไอเทม Lagombi Pelt x1 และ Monster Bone M x2 ให้แก่ Kageroแผนที่ Flooded Forest (1 แคมป์)ตำแหน่ง: อยู่บนเชิงเขาสูงบริเวณมุมขวาล่างของเขต 11ภารกิจ: ล่ามอนส์เตอร์ขนาดเล็ก Wroggi จำนวน 8 ตัวในแผนที่ Flooded Forestแผนที่ Lava Caverns (2 แคมป์)ตำแหน่ง 1: อยู่บนยอดเขาตอนบนของเขต 10ภารกิจ 1: ล่ามอนส์เตอร์ขนาดเล็ก Uroktor จำนวน 8 ตัวในแผนที่ Sandy Plainsตำแหน่ง 2: บนยอดเขาระหว่างเขต 6 และ 9ภารกิจ 2: มอบไอเทม Tetranodon Hide x1 และ Monster Bone L x2 ให้แก่ Kagero
05 Apr 2021
[Review] รีวิวเกม Monster Hunter: Rise ‘ตำนานนินจา ขี่หมาไปล่าแย้’
แม้จะเป็นซีรีส์เกมที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาตั้งแต่สมัยคอนโซล PlayStation 2 แต่เกมซีรีส์ล่าแย้ในตำนานอย่าง Monster Hunter ก็ยังถือว่าเป็นเกมที่เข้าถึงกลุ่มผู้เล่นได้ไม่กว้างขวางนัก ด้วยระบบเกมเพลย์อันท้าทายและซับซ้อน แถมเกมภาคหลังๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมายังมักจะเน้นวางจำหน่ายบนคอนโซลพกพาอย่าง PSP หรือ Nintendo 3DS มากกว่าคอนโซลสายหลักๆ ด้วย แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปพร้อมกับการมาถึงของ Monster Hunter: World บนเครื่อง PlayStation และ Xbox (และ PC) ที่สามารถปรับปรุงระบบเกมเพลย์สูตรสำเร็จของซีรีส์ให้กลมกล่อมย่อยง่าย จนสามารถผลักดันเกมซีรีส์ Monster Hunter เข้าสู่อ้อมใจของเกมเมอร์กระแสหลักทั่วไปได้ในระดับที่เหนือความคาดหมายของหลายๆ คน ด้วยประการทั้งหมดที่ว่าไป แน่นอนว่าเกมเมอร์ส่วนใหญ่ย่อมต้องคาดหวังกับภาคใหม่อย่าง Monster Hunter: Rise ไม่ต่างกัน แต่ในขณะที่เกมเมอร์นักล่าแย้รุ่นเก๋าๆ อาจจะรู้สึกดีใจที่ได้เห็นเกมซีรีส์ยอดรักของพวกเขาหวนคืนสู่คอนโซลพกพาอันเป็นภาพจำหลักของซีรีส์ นักล่าแย้รุ่นใหม่ๆ หลายคนก็อดกังวลไม่ได้ว่าการวางจำหน่ายบนเครื่อง Nintendo Switch ที่มีพลังน้อยกว่า จะเป็นการก้าวถอยหลังของซีรีส์หรือไม่หลังจากที่ได้ทดลองเล่นเกมมามากกว่า 50 ชั่วโมงนับตั้งแต่ที่วางจำหน่าย แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าเกมภาค Rise อาจจะเป็นเกมที่ “เล็ก” กว่า World อย่างช่วยไม่ได้เพื่อรองรับคอนโซล Switch แต่ผู้เขียนสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า Monster Hunter: Rise ก็ยังคงเป็นการพัฒนาก้าวใหญ่ของซีรีส์ล่าแย้ยอดฮิต ที่น่าจะตอบโจทย์ความต้องการของทั้งผู้เล่นเก่าและใหม่ของซีรีส์ได้ไม่ต่างกัน ด้วยการผสมผสานจุดปรับปรุงเกมเพลย์ของภาค World เข้ากับแนวทางแบบคลาสสิคของเกม Monster Hunter ภาคที่ผ่านๆ มา แถมยังเพิ่มระบบเกมเพลย์อันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองเข้าไปอีกมากมาย จนทำให้เกมภาค Rise ถือเป็นและเป็นเกมที่ไม่ควรพลาดสำหรับคอเกมแอคชั่นที่มีเครื่อง Nintendo Switch ทุกคนด้วยประการทั้งปวง และเป็นการคืนสู่ภาพจำอันคลาสสิคของซีรีส์ในฐานะเกมพกพาอีกด้วยเนื้อเรื่องเนื้อเรื่องของเกม Monster Hunter: Rise จะให้ผู้เล่นรับบทเป็นนักล่าแย้หน้าใหม่ไฟแรง ที่จะต้องออกต่อสู้กับเหล่ามอนส์เตอร์อันหน้าเกรงขามชนิดต่างๆ เพื่อปกป่องบ้านเกิด Kamura Village จากการรุกรานของพวกมัน อันเป็นผลมาจากปรากฏการณ์ปริศนาที่เรียกว่า ‘The Rampage’ และสืบหาเบื้องหลังของปรากฏการณ์นั้นเพื่อยับยั้งมันให้ได้ในที่สุดเช่นเดียวกับในเกม Monster Hunter ทุกภาคที่ผ่านมา เนื้อเรื่องของเกมไม่ได้เป็นจุดสำคัญที่ส่งผลต่อประสบการณ์โดยรวมของเกมเท่าไหร่นัก และเหมือนจะทำหน้าที่เป็นเพียง “แรงขับ” ให้ผู้เล่นพอมีเหตุผลในการออกไปล่าเหล่าแย้น้อยใหญ่ทั้งหลายซะมากกว่า แม้ว่าเกมภาค Rise จะพยายามประดิษฐ์ประดอยร้อยเรียงเหตุการณ์ต่างๆ ให้เชื่อมโยงกันเป็นเส้นเรื่องเดียว แถมยังเพิ่มอรรถรสด้วยการใส่เสียงพากย์และตัวละครเด่นๆ เข้าไปมากมายก็ตามทีที่สำคัญ ผู้พัฒนาเองก็น่าจะเข้าใจว่าเนื้อเรื่องคงไม่ใช่จุดขายสำคัญของเกม Monster Hunter อยู่แล้ว ทำให้เนื้อเรื่องของเกมภาค Rise ค่อนข้างสั้นมากๆ (เล่นจบได้ในเวลาไม่ถึง 15 ชั่วโมง) และมีความเชื่อมโยงกับเกมเพลย์น้อยกว่าในภาค World อย่างชัดเจน ซึ่งก็อาจจะถือได้ว่าเป็นข้อเสียหนึ่งสำหรับคนที่ชื่นชอบการติดตามเนื้อเรื่องกราฟิก/การนำเสนอหากมองดูผิวเผิน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเกม Monster Hunter: Rise มีความละเอียดในด้านกราฟิกน้อยกว่าเกมภาค World อย่างแน่นอน ซึ่งก็ถือเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับเกมในเครื่อง Nintendo Switch อยู่แล้ว (ยิ่งเล่นโหมดพกพายิ่งเห็นชัด) แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเกมจะภาพไม่สวยไปเลย เพราะก็ยังคงใช้เอนจิ้นกราฟิกตัวเดียวกับ Monster Hunter: World ซึ่งแสดงผลอนิเมชั่นต่างๆ ได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นท่วงท่าการต่อสู้ของตัวละครผู้เล่นและ NPC ต่างๆ ไปจนถึงเหล่าแย้หลากหลายชนิดที่พบได้ในเกม ยิ่งเมื่อเข้าสู่การต่อสู้อันดุเดือดและรวดเร็วยิ่งขึ้นของเกมภาคนี้ เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะไม่สังเกติเลยด้วยซ้ำองค์ประกอบสัคัญที่ช่วยยกระดับคุณภาพโดยรวมของกราฟิกในเกมอีกอย่างคือเรื่องของการออกแบบศิลป์ (Art Direction) สไตล์ญี่ปุ่นของเกม ที่สามารถสร้างบรรยากาศและชีวิตชีวาให้กับสภาพแวดล้อมในเกมได้อย่างมหาศาลไม่ว่าจะอยู่ในหมู่บ้าน Kamura Village หรือในด่านการล่าแย้อันหลากหลายตั้งแต่ป่าทึบ น้ำตก ทะเลทราย หรือภูเขาไฟก็ตามที และแม้ว่าฉากนอกหมู่บ้านต่างๆ จะมีขนาดเล็กกว่าในภาค World พอสมควร แต่ด้วยระยะการมองเห็น (Draw Distance) อันกว้างใหญ่ของเกม ส่งผลให้ผู้เขียนไม่รู้สึกถึงความเล็กที่ว่านั้นเท่าไหร่นัก การออกแบบศิลป์อันยอดเยี่ยมยังส่งผลถึงเหล่าอาวุธชุดเกราะในเกมด้วย ซึ่งเอาเข้าจริงก็เป็นจุดดึงดูดใหญ่ๆ ข้อหนึ่งของเกม Monster Hunter อยู่แล้ว และเป็นแรงจูงใจสำคัญที่ทำให้ผู้เล่นอยากจะออกไปล่าแย้เพื่อนำวัตถุดิบกลับมาสร้างของสวมใส่เท่ๆ เหล่านี้ในฝั่งของ Performance นั้น Monster Hunter: Rise ถือเป็นเกมที่แสดงผลได้อย่างลื่นไหลมากๆ แม้ว่าเฟรมเรตของเกมจะถูกจำกัดเอาไว้ที่เพียง 30 FPS เท่านั้น แต่ก็เป็น 30 FPS ที่เสถียรแทบจะตลอดเวลา กระทั่งในจังหวะการเล่น Multiplayer ที่มีผู้เล่น 4 วิ่งไปมาพร้อมกัน แถมเกมยังมีหน้าจอการโหลดน้อยมากๆ และต่อให้โหลดก็ยังใช้เวลาไม่เกิน 5-10 วินาทีเท่านั้น ทำให้ประสบการณ์การเล่นโดยรวมเป็นไปอย่างลื่นไหลทันใจยิ่งกว่าในภาค World อีกเกมเพลย์ถ้ามองในภาพกว้าง วงจรเกมเพลย์ของ Monster Hunter: Rise ก็ไม่ได้แตกต่างจากสูตรสำเร็จของเกมล่าแย้ทุกภาคที่ผ่านมา ผู้เล่นจะต้องเลือกใช้อาวุธ 1 ใน 14 ชนิดในการออกไปต่อสู้กับเหล่ามอนส์เตอร์หลากหลายชนิด เพื่อเก็บวัตถุดิบที่ได้จากพวกมันมาสร้างเป็นอาวุธและชุดเกราะที่ทรงพลังขึ้นเรื่อยๆ เพื่อออกไปรับมือกับแย้ที่ร้ายกาจขึ้นวนๆ กันไป โดยการต่อสู้ในภาค Rise ดูจะต่อยอดมาจากภาค World ทำให้ยังคงมีความคล่องแคล่วในแง่ของการเคลื่อนไหวมากกว่าภาคอื่นๆ แต่ในภาค Rise ได้มีการเพิ่มระบบการเล่นอันเป็นเอกลักษณ์ของเกมเข้าไปหลายอย่างที่ทำให้การออกล่าแต่ละครั้งรู้สึกดุเดือดเร้าใจและหลากหลายยิ่งกว่าในภาค World เสียอีกองค์ประกอบใหม่ที่สำคัญที่สุดในฝั่งของเกมเพลย์ทั้งการต่อสู้และการสำรวจ คงหนีไม่พ้นเหล่าแมลง Wire Bug ที่ทำให้ผู้เล่นสามารถพุ่งตัวไปมาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลต่อจังหวะจะโคนในการล่าแย้อย่างมีนัยยะสำคัญ เพราะทำให้ผู้เล่นมีทางเลือกในการหลบหลีกหรือหาช่องว่างในการโจมตีได้มากกว่าในภาค World ที่ผู้เล่นมักจะต้องรอให้เหล่ามอนส์เตอร์เป็นฝ่ายเปิดช่องให้ซะเอง แถมผู้เล่นยังสามารถใช้เหล่าแมลงพวกนี้ในการห้อยโหนและดึงตัวเองให้พุ่งไปในอากาศได้อย่างอิสระ ทำให้การสำรวจแผนที่ต่างๆ เพื่อหาความลับหรือเก็บทรัพยากรณ์ดำเนินไปอย่างรวดเร็วมากขึ้น ยิ่งเมื่อฝึกใช้ควบคู่กับระบบการปีนป่ายกำแพงที่เพิ่มเข้ามาใหม่จนคล่องนี่แทบจะเหมือนเล่นเกมไอ้แมงมุมอยู่อย่างไงอย่างงั้น แต่ความคล่องที่เพิ่มขึ้นของผู้เล่นก็ทำให้ผู้พัฒนาสามารถปรับให้เหล่ามอนส์เตอร์มีความดุดันและว่องไวมากขึ้นกว่าภาค World ไปด้วย แถมยังมีท่าโจมตีบางท่าที่จำเป็นต้องใช้ระบบ Wire Bug ในการหลบหลีกอีกด้วย จึงไม่ต้องเป็นกลัวว่าเกมจะหมดความท้าทายไปซะเลยเหล่าแมลง Wire Bugs ยังมอบความสามารถชนิดใหม่ที่เรียกว่า Silkbind Moves เข้ามา เปรียบเสมือนท่าพิเศษที่ช่วยเสริมความสามารถด้านต่างๆ ของผู้เล่นตั้งแต่การป้องกัน หลบหลีก หรือกระทั่งใช้โจมตีมอนส์เตอร์โดยตรงก็ยังได้ โดยอาวุธทั้ง 14 ชนิดจะมี Silkbind Moves ของตัวเองที่สามารถสลับสับเปลี่ยนได้เพื่อให้เข้ากับสไตล์การเล่นของผู้เล่นแต่ละคน ยกตัวอย่างเช่นอาวุธยอดนิยมอย่างดาบยาว (Long Sword) ที่สามารถใช้ท่า Soaring Kick เพื่อถีบตัวให้ลอยขึ้นไปและต่อเข้าท่าทิ้งตัวผ่ากบาลมอนส์เตอร์ได้ หรือจะเปลี่ยนเป็นท่า Sakura Slash เพื่อพุ่งตัวเป็นทางตรงผ่านศัตรูและสร้างความเสียหายหลายครั้งเป็นต้นผู้เล่นยังสามารถปรับเปลี่ยนท่าโจมตีในคอมโบธรรมดาของอาวุธด้วยระบบ Switch Skills ได้อีกด้วย ซึ่งอาจจะทำให้วิธีการเล่นอาวุธโดยรวมเปลี่ยนไปเลย ยกตัวอย่างเช่นอาวุธ Gunlance ที่สามารถสลับเอาท่าชาร์จกระสุน (Charged Shells) ออก เพื่อเปลี่ยนเป็นท่า Blast Dash ที่ทำให้ผู้เล่นสามารถพุ่งตัวโดยใช้หอกแทนไอพ่นได้ เป็นระบบที่ช่วยเพิ่มอิสระในการสร้างแนวทางการเล่นเฉพาะตัวให้กับเหล่านักล่าแต่ละคน เพราะต่อให้เล่นอาวุธแบบเดียวกัน แต่ถ้าเลือกใช้ท่า Switch Skills ไม่เหมือนกันก็อาจจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงไปเลยก็ได้เช่นกันอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่ถูกเพิ่มเข้ามาในภาคนี้คือเหล่าน้องหมา Palamute ที่จะสามารถติดสอยห้อยตามเราไปทำภารกิจนอกหมู่บ้านได้ควบคู่ไปกับน้องเหมียว Palico ของเรา โดยจุดเด่นของเหล่า Palamute คือการที่เราสามารถขึ้นขี่พวกมันเพื่อเดินทางไปมาในแผนที่ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่เสีย Stamina (ค่าความอึด) แถมมันยังช่วยเราต่อสู้กับเหล่าแย้ได้อีกด้วย ซึ่งการที่เกมเปิดให้เราสามารถพกเพื่อนเข้าไปในด่านได้พร้อมกันทีละ 2 ตัวตลอดเวลา ก็ส่งผลให้ภาค Rise มีความเป็นมิตรสำหรับคนที่เล่นคนเดียวมากขึ้น เพราะบางครั้งเหล่าเพื่อนสัตว์ของเราก็จะช่วยดึงความสนใจของศัตรูให้เรามีจังหวะได้พักหายใจอยู่บ้างทั้งนี้ ใช่ว่าการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในเกม Rise จะเป็นข้อดีไปซะหมด โดยในความเห็นของผู้เขียน Monster Hunter: Rise ได้ลดทอนความสำคัญของการสำรวจแผนที่ลงไปอย่างมาก จากการที่เกมจะบอกตำแหน่งของเหล่าแย้ทุกตัวทันทีที่เริ่มด่าน แทนที่จะให้ผู้เล่นต้องตามหารอยเท้าของมอนส์เตอร์ซะก่อนเหมือนในภาค World โดยแม้ว่าบางคนอาจจะมองเป็นข้อดีเพราะจะได้ไม่ต้องเสียเวลาวิ่งหามอนส์เตอร์ โดดลงมาถึงก็ซัดกันได้เลย แต่สำหรับผู้เขียนรู้สึกว่ามันทำให้เราไม่ค่อยมีแรงจูงใจที่จะสำรวจแผนที่ขนาดนั้น ซึ่งก็ทำให้รู้สึกว่า “ผูกพันธ์” กับสถานที่หรือโลกของเกมน้อยกว่าในภาค World และอาจทำให้ผู้เล่นหลายๆ คนไม่มีโอกาสได้ชื่นชมความงามของแต่ละด่านเท่าที่ควร ยิ่งไปกว่านั้น ผู้พัฒนาดูจะถอดระบบการเอาตัวรอดในเกมออกไปหมดเลย อย่างในภาค World เราอาจจะต้องพกยาชนิดต่างๆ เข้าไปเพื่อรับมือกับสภาพอากาศหนาวหรือร้อนในด่าน แต่ในภาคนี้เรากลับสามารถต่อสู้กัยมอนส์เตอร์ในถ้ำลาวาได้โดยไม่สะทกสะท้านอะไร ซึ่งก็ทำให้ตัวตนของแต่ละด่านรู้สึกเจือจางลงไปเหมือนกันสรุปแม้จะมีข้อจำกัดเล็กน้อยจากประสิทธิภาพที่น้อยกว่าของเครื่อง Nintendo Switch เมื่อเทียบกับภาคก่อนหน้าอย่าง World แต่ Monster Hunter: Rise ก็ทดแทนส่วนที่ขาดไปด้วยระบบเกมเพลย์หลายอย่างที่ทำให้เกมรู้สึก “เข้าถึงง่าย” สำหรับผู้เล่นใหม่มากขึ้น แถมยังมีการใส่ระบบจากภาคเก่าๆ เช่นระบบสกิลเกราะ (Armor Skill) แบบเก่าที่เปลี่ยนไปในภาค World ซึ่งก็น่าถูกใจเหล่านักล่าแย้ทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ไม่แพ้กัน ใครที่มีเครื่อง Nintendo Switch อยู่แล้ว และอยากลองลิ้มรสซีรีส์เกมสุดอมตะนี้ รับรองว่า Monster Hunter: Rise จะไม่ทำให้คุณผิดหวังว่าแน่นอน
30 Mar 2021
GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
ผลการค้นหา : "Monster Hunter: Rise"
Monster Hunter: Rise ปล่อยอัลบั้มเพลงประกอบให้ฟังทาง Spotify ได้แล้ววันนี้
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบเพลงประกอบอันยอดเยี่ยมของเกม Monster Hunter: Rise ล่าสุดทางผู้พัฒนา Capcom ได้ปล่อยอัลบั้มเพลงประกอมทั้งหมดของเกมให้ผู้เล่นได้ฟังกันผ่าน Spotify และบริการสตรีมมิ่งเพลงอื่นๆ แล้ว โดยภายในอัลบั้มจะประกอบไปด้วยเพลงจำนวน 109 เพลงเลยทีเดียว ทั้งนี้ ด้วยเหตุผลด้านลิขสิทธิ์ อาจทำให้ในบางพื้นที่มีการจำกัดเพลงที่สามารถฟังได้ผ่าน Spotify (ในประเทศไทยฟังได้แค่ 6 จาก 109 เพลงเท่านั้น) แต่ผู้ที่ใช้บริการ Apple Music จะสามารถเข้าถึงเพลงทั้งอัลบั้มได้ รวมไปถึงสามารถซื้อเพลงทั้งอัลบั้มมาเก็บไว้ได้ในราคา 4,500 เยน (หรือราว 1,300 บาท)Monster Hunter: Rise ถือเป็นเกมที่ทำยอดขายได้ดีที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของผู้พัฒนา Capcom โดยในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมามีรายงานว่าเกมได้ทำยอดขายถึง 5 ล้านชุดแล้วทั่วโลก ทำให้เกมขึ้นแท่นเป็นเกมเฉพาะแพลตฟอร์ม (Switch Exclusive) ที่ขายดีที่สุดในประวัตอศาสตร์ของค่ายเลยทีเดียวCredit: Siliconera
20 May 2021
Capcom เตรียมจัดรายการไลฟ์สตรีมซีรีส์ Monster Hunter เพื่อเผยรายละเอียดเกี่ยวกับ Rise และ Stories 2 อีกครั้ง
ผู้พัฒนา Capcom ได้ประกาศยืนยันว่าจะมีการจัดรายการไลฟ์สตรีมเพื่อพูดถึงเกม Monster Hunter: Rise และ Monster Hunter Stories 2: Wings of Ruin อีกครั้งในวันที่ 27 เมษายนนี้ เวลา 21:00 น. (เวลาไทย) ซึ่งคาดว่าจะเป็นการเปิดเผยวันปล่อยอัปเดทใหญ่ครั้งแรกสำหรับเกม Monster Hunter: Rise รวมถึงอัปเดท 2.0 ที่จะตามมาในอนาคตอีกด้วยสำหรับรายละเอียดที่จะเปิดเผยเกี่ยวกับเกม Monster Hunter Stories 2: Wings of Ruin ยังไม่แน่ชัด แต่ Capcom ยืนยันว่าจะพูดถึงอัปเดท Free Title Update ของ Monster Hunter: Rise ที่จะเพิ่มมอนส์เตอร์อย่าง Chameleos และ Apex Rathalos เข้าไปในเกมช่วงสิ้นเดือนเมษายนนี้ โดยอาจจะมีการพูดถึงรายละเอียดของอัปเดทครั้งต่อไปที่ว่ากันว่าจะเพิ่มตอนจบของเนื้อเรื่องเข้าไปด้วยMonster Hunter: Rise วางจำหน่ายแล้วสำหรับ Nintendo Switch (มีเวอร์ชัน PC ตามมาปี 2022) ในขณะที่ Monster Hunter Stories 2: Wings of Ruin จะวางจำหน่ายในวันที่ 9 กรกฏาคมนี้Credit: https://www.siliconera.com/april-2021-monster-hunter-digital-event-will-discuss-rise-and-stories-2/
23 Apr 2021
Monster Hunter: Rise วิธีปลดล๊อคชุดเกราะเซ็ตลับทั้ง 11 ชุด
องค์ประกอบหนึ่งที่ขาดไปไม่ได้ในเกม Monster Hunter ทุกภาค ก็คือระบบการคราฟติ้งอาวุธชุดเกราะโดยใช้วัตถุดิบที่ได้จากการล่ามอนส์เตอร์นั่นเอง เช่นเดียวกันกับในเกมภาค Rise ที่มีชุดเกราะประจำตัวแย้แต่ละชนิดที่ล้วนมีสกิลติดตัวของตัวเอง ให้ผู้เล่นสามารถผสมผสานกับชิ้นส่วนจากชุดอื่นๆ เพื่อให้ตัวละครของเรามีความสามารถดังใจแต่รู้หรือไม่ว่า นอกจากชุดเกราะที่ปลดล๊อคจากการล่าแย้แต่ละชนิด และชุดเกราะที่ปลดล๊อคตามเนื้อเรื่อง ภายในเกม Monster Hunter: Rise ยังมีชุดเกราะอีกจำนวนมากที่แอบซ่อนเอาไว้ และจะปลดล๊อคต่อเมื่อทำเงื่อนไขบางอย่างสำเร็จแล้วเท่านั้น โดยในวันนี้เราจะมาแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับชุดเกราะเซ็ตลับทั้ง 11 ชนิด พร้อมเปิดเผยวิธีปลดล๊อค ให้ทุกคนได้มีทางเลือกมากขึ้นทั้งในด้านแฟชั่นและการผสมผสานสกิลที่เราต้องการ ไปดูกันเลย!คำอธิบายเซ็ตเกราะลับปกติแล้วเซ็ตชุดเกราะส่วนใหญ่ในเกม Monster Hunter: Rise จะปลดล๊อคก็ต่อเมื่อเราเก็บชิ้นส่วนของแย้ที่จำเป็นต้องใช้ในการสร้างชุดเกราะนั้นมาได้ ไม่ว่าจะจากการล่าหรือการเก็บเป้นเม็ดเรืองแสงตามพื้นก็ตาม แต่สำหรับชุดเกราะลับเหล่านี้ มักจะต้องใช้ไอเทมหายากที่ได้รับจากการส่งน้องหมาน้องแมวของเราออกไปทำภารกิจ Meowcenary หรือจากการค้าขายผ่านเรือดำน้ำ Argosy เท่านั้น ซึ่งไอเทมแรร์แต่ละชนิดก็จะมีเงื่อนไขในการเก็บต่างๆ กันไปเซ็ตเกราะจากการกิจ MeowcenaryChaos: เก็บ Shadeshroom (เห็ด) จากแผนที่ Shrine RuinsEdel: เก็บ Stargazer Bloom (พืช/สมุนไพร) จากแผนที่ Frost IslandsDeath Stench: เก็บ Sinister Darkcloth (สุ่ม) จากแผนที่ Sandy PlainsMosgharl: เก็บ Omegapumpkin (พืช/สมุนไพร) จากแผนที่ Flooded ForestJelly: เก็บ Gothjelly (ปลา) จากแผนที่ Lava Cavernsเซ็ตเกราะจากเรือดำน้ำ ArgosySkalda (ชาย) / Spio (หญิง): ใช้ Toxic Kumori จากการสั่งไอเทมหมวดสมุนไพร (Herb) Aelucanth (ชาย) / Rhopessa (หญิง): ใช้ Butterfly Beetle จากการสั่งไอเทมหมวดเห็ด (Mushroom) หรือแมลง (Bug)Shell-Studded: ใช้ Dreamshell จากการสั่งไอเทมหมวดเห็ด (Mushroom) หรือแมลง (Bug)Melahoa: ใช้ Dosbiscus จากการสั่งไอเทมหมวดสมุนไพร (Herb) หรือเมล็ดพืช (Seed)Vaik: ใช้ Armored Bream จากการสั่งไอเทมหมวดสมุนไพร (Herb) หรือปลา (Fish)Makluva: ใช้ Springnight Carp จากการสั่งไอเทมหมวดสมุนไพร (Herb) หรือเมล็ดพืช (Seed)วิธีการและคำแนะนำสำหรับการหาไอเทมแรร์สำหรับการหาไอเทมแรร์จากภารกิจ Meowcenary ให้คอยสังเกติสัญลักษณ์แสงระยิบระยับข้างๆ ชื่อแผนที่และบนแผ่นป้ายบอกชนิดไอเทม ซึ่งจะบ่งบอกว่าเรามีโอกาสที่จะได้ไอเทมแรร์ตามแผ่นป้ายเพิ่มขึ้น เช่นถ้าเราต้องการหาไอเทม Gothjelly จากด่าน Lava Caverns ก็ให้ส่งหน่วยแมวเหมียวออกไปในเส้นทางที่มีแผ่นป้าย "ปลา" ติดประกายระยิบระยับ จะทำให้มีโอกาสได้ไอเทมมามากขึ้น แต่ก็ไม่ได้รับประกันว่าจะได้ทุกครั้งเช่นกันในส่วนของจากเรือ Argosy จะเปลี่ยนไปตามชนิดของสินค้าที่เราส่งสัตว์เลี้ยงไปหา เช่นถ้าหาสินค้าประเภทพืชสมุนไพร ก็จะมีสิทธิ์ได้รับ Toxic Kumori หรือ Armored Bream ในขณะที่ถ้าส่งไปหาไอเทมชนิดแมลง ก็จะได้รับไอเทมชนิด Dreamshell หรือ Butterfly Beetle เป็นต้น โดยเราก็เพียงต้องเลือกประเภทสินค้าให้ตรงกับไอเทมที่อยากได้ จากนั้นก็ได้แต่รอและลุ้นให้สัตว์เลี้ยงของเรานำของกลับมาให้ แต่ถ้าคุณเลือกส่งสัตว์เลี้ยงที่มีเลเวลอย่างน้อย 35 ออกไปค้าขาย จะสามารถใช้ความสามารถ Shiny Bargain เพื่อเพิ่มโอกาสรับของแรร์ได้ด้วย การปลดล๊อคเกราะเหล่านี้จึงจำได้ง่ายขึ้นในช่วงหลังๆ ของเกม (แต่ก็ปลดล๊อคได้ตั้งแต่ต้นเกมถ้าโชคดี)คำแนะนำที่ควรคำนึงถึงอีกอย่าง ไม่ว่าคุณจะหาไอเทมจาก Meowcenary หรือ Argosy คือควรใช้ไอเทม Lagniapple ควบคู่ไปด้วยเสมอเวลาต้องการหาของแรร์ เพราะพวก Lagniapple นี้จะเพิ่มจำนวนของที่หาได้ ซึ่งก็ส่งผลให้เรามีโอกาสมากขึ้นที่จะได้ของแรร์ไปด้วย
05 Apr 2021
Monster Hunter: Rise "ตำแหน่งและเควสปลดล๊อค Sub-Camp ทั้งหมดในเกม"
ในระหว่างการออกล่าแย้ไปตามแผนที่ต่างๆ ในเกม Monster Hunter: Rise เชื่อว่านักล่าหลายคนน่าจะเคยประสบปัญหาเรื่องของหมดระหว่างที่ล่า ไม่ว่าจะเป็นพวกยา Potion และยาแก้สถานะผิดแกติทั้งหลาย หรือสำหรับสายยิงปืน/ยิงธนูอาจจะต้องคอยห่วงเรื่องกระสุนและยาเคลือบหมดด้วยแต่ครั้นจะบินกลับไปเอาของเพิ่มที่แคมป์หลักแล้ววิ่งกลับมาหามอนส์เตอร์ใหม่ก็ดูจะเสียเวลา เกมจึงได้เพิ่มระบบ Sub-Camp หรือแคมป์ย่อยๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ในแต่ละแผนที่ ทำให้เราสามารถแวะเติมไอเทมได้อย่างสะดวก แถมแคมป์ย่อยเหล่านี้ยังทำหน้าที่เป็นจุด Fast-Travel ให้เราวาร์ปไปมาอย่างรวดเร็วได้อีกด้วย จะได้ต้องเสียเวลาวิ่งไปหาแย้อีกต่อไปทั้งนี้ การจะปลดล๊อคจุด Sub-Camp เหล่านี้ได้ ผู้เล่นจะต้องตามหาตำแหน่งของมันในแผนที่ให้เจอเสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับมารับภารกิจเสริม (Request) จากพ่อค้า Kagero ที่หมู่บ้านอีกทีเพื่อปลดล๊อค เพื่อให้การออกล่าแต่ละครั้งของทุกคนเป็นไปอย่างสะดวกมากขึ้น เราจึงได้รวบรวมตำแหน่งและรายละเอียดภารกิจการปลดล๊อคแคมป์ย่อยทั้งหมดในเกมมาให้คุณแล้ว!แผนที่ Shrine Ruins (1 แคมป์)ตำแหน่ง: อยู่บนเชิงเขาเล็กๆ บริเวณด้านบนของเขต 10ภารกิจ: ล่ามอนส์เตอร์ขนาดเล็ก Izuchi จำนวน 8 ตัวในแผนที่ Shrine Ruinsแผนที่ Frost Islands (2 แคมป์)ตำแหน่ง 1: อยู่บริเวณบ่อน้ำระหว่างเขต 6 และ 7 (ต้องใช้ Wirebug ปีนข้ามกำแพงไป)ภารกิจ 1: ล่ามอนส์เตอร์ขนาดเล็ก Zamite จำนวน 8 ตัวในแผนที่ Frost Islands (หาได้ในบ่อน้ำตรงเขต 4 และในเขต 8 กับ 11)ตำแหน่ง 2: บนเชิงเขาระหว่างเขต 8 และ 10ภารกิจ 2: มอบไอเทม Warm Pelt x2 (จากตัว Kelbi หรือ Anteka) และ Monster Bone S x4 ให้แก่ Kageroแผนที่ Sandy Plains (2 แคมป์)ตำแหน่ง 1: อยู่บนเขาบริเวณมุมขวาบนของเขต 2ภารกิจ 1: ล่ามอนส์เตอร์ขนาดเล็ก Kestodon จำนวน 8 ตัวในแผนที่ Sandy Plainsตำแหน่ง 2: ลอดช่องเล็กๆ ในกำแพงตรงทางเชื่อมระหว่างเขต 8 และ 9ภารกิจ 2: มอบไอเทม Lagombi Pelt x1 และ Monster Bone M x2 ให้แก่ Kageroแผนที่ Flooded Forest (1 แคมป์)ตำแหน่ง: อยู่บนเชิงเขาสูงบริเวณมุมขวาล่างของเขต 11ภารกิจ: ล่ามอนส์เตอร์ขนาดเล็ก Wroggi จำนวน 8 ตัวในแผนที่ Flooded Forestแผนที่ Lava Caverns (2 แคมป์)ตำแหน่ง 1: อยู่บนยอดเขาตอนบนของเขต 10ภารกิจ 1: ล่ามอนส์เตอร์ขนาดเล็ก Uroktor จำนวน 8 ตัวในแผนที่ Sandy Plainsตำแหน่ง 2: บนยอดเขาระหว่างเขต 6 และ 9ภารกิจ 2: มอบไอเทม Tetranodon Hide x1 และ Monster Bone L x2 ให้แก่ Kagero
05 Apr 2021
[Review] รีวิวเกม Monster Hunter: Rise ‘ตำนานนินจา ขี่หมาไปล่าแย้’
แม้จะเป็นซีรีส์เกมที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาตั้งแต่สมัยคอนโซล PlayStation 2 แต่เกมซีรีส์ล่าแย้ในตำนานอย่าง Monster Hunter ก็ยังถือว่าเป็นเกมที่เข้าถึงกลุ่มผู้เล่นได้ไม่กว้างขวางนัก ด้วยระบบเกมเพลย์อันท้าทายและซับซ้อน แถมเกมภาคหลังๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมายังมักจะเน้นวางจำหน่ายบนคอนโซลพกพาอย่าง PSP หรือ Nintendo 3DS มากกว่าคอนโซลสายหลักๆ ด้วย แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปพร้อมกับการมาถึงของ Monster Hunter: World บนเครื่อง PlayStation และ Xbox (และ PC) ที่สามารถปรับปรุงระบบเกมเพลย์สูตรสำเร็จของซีรีส์ให้กลมกล่อมย่อยง่าย จนสามารถผลักดันเกมซีรีส์ Monster Hunter เข้าสู่อ้อมใจของเกมเมอร์กระแสหลักทั่วไปได้ในระดับที่เหนือความคาดหมายของหลายๆ คน ด้วยประการทั้งหมดที่ว่าไป แน่นอนว่าเกมเมอร์ส่วนใหญ่ย่อมต้องคาดหวังกับภาคใหม่อย่าง Monster Hunter: Rise ไม่ต่างกัน แต่ในขณะที่เกมเมอร์นักล่าแย้รุ่นเก๋าๆ อาจจะรู้สึกดีใจที่ได้เห็นเกมซีรีส์ยอดรักของพวกเขาหวนคืนสู่คอนโซลพกพาอันเป็นภาพจำหลักของซีรีส์ นักล่าแย้รุ่นใหม่ๆ หลายคนก็อดกังวลไม่ได้ว่าการวางจำหน่ายบนเครื่อง Nintendo Switch ที่มีพลังน้อยกว่า จะเป็นการก้าวถอยหลังของซีรีส์หรือไม่หลังจากที่ได้ทดลองเล่นเกมมามากกว่า 50 ชั่วโมงนับตั้งแต่ที่วางจำหน่าย แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าเกมภาค Rise อาจจะเป็นเกมที่ “เล็ก” กว่า World อย่างช่วยไม่ได้เพื่อรองรับคอนโซล Switch แต่ผู้เขียนสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า Monster Hunter: Rise ก็ยังคงเป็นการพัฒนาก้าวใหญ่ของซีรีส์ล่าแย้ยอดฮิต ที่น่าจะตอบโจทย์ความต้องการของทั้งผู้เล่นเก่าและใหม่ของซีรีส์ได้ไม่ต่างกัน ด้วยการผสมผสานจุดปรับปรุงเกมเพลย์ของภาค World เข้ากับแนวทางแบบคลาสสิคของเกม Monster Hunter ภาคที่ผ่านๆ มา แถมยังเพิ่มระบบเกมเพลย์อันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองเข้าไปอีกมากมาย จนทำให้เกมภาค Rise ถือเป็นและเป็นเกมที่ไม่ควรพลาดสำหรับคอเกมแอคชั่นที่มีเครื่อง Nintendo Switch ทุกคนด้วยประการทั้งปวง และเป็นการคืนสู่ภาพจำอันคลาสสิคของซีรีส์ในฐานะเกมพกพาอีกด้วยเนื้อเรื่องเนื้อเรื่องของเกม Monster Hunter: Rise จะให้ผู้เล่นรับบทเป็นนักล่าแย้หน้าใหม่ไฟแรง ที่จะต้องออกต่อสู้กับเหล่ามอนส์เตอร์อันหน้าเกรงขามชนิดต่างๆ เพื่อปกป่องบ้านเกิด Kamura Village จากการรุกรานของพวกมัน อันเป็นผลมาจากปรากฏการณ์ปริศนาที่เรียกว่า ‘The Rampage’ และสืบหาเบื้องหลังของปรากฏการณ์นั้นเพื่อยับยั้งมันให้ได้ในที่สุดเช่นเดียวกับในเกม Monster Hunter ทุกภาคที่ผ่านมา เนื้อเรื่องของเกมไม่ได้เป็นจุดสำคัญที่ส่งผลต่อประสบการณ์โดยรวมของเกมเท่าไหร่นัก และเหมือนจะทำหน้าที่เป็นเพียง “แรงขับ” ให้ผู้เล่นพอมีเหตุผลในการออกไปล่าเหล่าแย้น้อยใหญ่ทั้งหลายซะมากกว่า แม้ว่าเกมภาค Rise จะพยายามประดิษฐ์ประดอยร้อยเรียงเหตุการณ์ต่างๆ ให้เชื่อมโยงกันเป็นเส้นเรื่องเดียว แถมยังเพิ่มอรรถรสด้วยการใส่เสียงพากย์และตัวละครเด่นๆ เข้าไปมากมายก็ตามทีที่สำคัญ ผู้พัฒนาเองก็น่าจะเข้าใจว่าเนื้อเรื่องคงไม่ใช่จุดขายสำคัญของเกม Monster Hunter อยู่แล้ว ทำให้เนื้อเรื่องของเกมภาค Rise ค่อนข้างสั้นมากๆ (เล่นจบได้ในเวลาไม่ถึง 15 ชั่วโมง) และมีความเชื่อมโยงกับเกมเพลย์น้อยกว่าในภาค World อย่างชัดเจน ซึ่งก็อาจจะถือได้ว่าเป็นข้อเสียหนึ่งสำหรับคนที่ชื่นชอบการติดตามเนื้อเรื่องกราฟิก/การนำเสนอหากมองดูผิวเผิน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเกม Monster Hunter: Rise มีความละเอียดในด้านกราฟิกน้อยกว่าเกมภาค World อย่างแน่นอน ซึ่งก็ถือเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับเกมในเครื่อง Nintendo Switch อยู่แล้ว (ยิ่งเล่นโหมดพกพายิ่งเห็นชัด) แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเกมจะภาพไม่สวยไปเลย เพราะก็ยังคงใช้เอนจิ้นกราฟิกตัวเดียวกับ Monster Hunter: World ซึ่งแสดงผลอนิเมชั่นต่างๆ ได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นท่วงท่าการต่อสู้ของตัวละครผู้เล่นและ NPC ต่างๆ ไปจนถึงเหล่าแย้หลากหลายชนิดที่พบได้ในเกม ยิ่งเมื่อเข้าสู่การต่อสู้อันดุเดือดและรวดเร็วยิ่งขึ้นของเกมภาคนี้ เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะไม่สังเกติเลยด้วยซ้ำองค์ประกอบสัคัญที่ช่วยยกระดับคุณภาพโดยรวมของกราฟิกในเกมอีกอย่างคือเรื่องของการออกแบบศิลป์ (Art Direction) สไตล์ญี่ปุ่นของเกม ที่สามารถสร้างบรรยากาศและชีวิตชีวาให้กับสภาพแวดล้อมในเกมได้อย่างมหาศาลไม่ว่าจะอยู่ในหมู่บ้าน Kamura Village หรือในด่านการล่าแย้อันหลากหลายตั้งแต่ป่าทึบ น้ำตก ทะเลทราย หรือภูเขาไฟก็ตามที และแม้ว่าฉากนอกหมู่บ้านต่างๆ จะมีขนาดเล็กกว่าในภาค World พอสมควร แต่ด้วยระยะการมองเห็น (Draw Distance) อันกว้างใหญ่ของเกม ส่งผลให้ผู้เขียนไม่รู้สึกถึงความเล็กที่ว่านั้นเท่าไหร่นัก การออกแบบศิลป์อันยอดเยี่ยมยังส่งผลถึงเหล่าอาวุธชุดเกราะในเกมด้วย ซึ่งเอาเข้าจริงก็เป็นจุดดึงดูดใหญ่ๆ ข้อหนึ่งของเกม Monster Hunter อยู่แล้ว และเป็นแรงจูงใจสำคัญที่ทำให้ผู้เล่นอยากจะออกไปล่าแย้เพื่อนำวัตถุดิบกลับมาสร้างของสวมใส่เท่ๆ เหล่านี้ในฝั่งของ Performance นั้น Monster Hunter: Rise ถือเป็นเกมที่แสดงผลได้อย่างลื่นไหลมากๆ แม้ว่าเฟรมเรตของเกมจะถูกจำกัดเอาไว้ที่เพียง 30 FPS เท่านั้น แต่ก็เป็น 30 FPS ที่เสถียรแทบจะตลอดเวลา กระทั่งในจังหวะการเล่น Multiplayer ที่มีผู้เล่น 4 วิ่งไปมาพร้อมกัน แถมเกมยังมีหน้าจอการโหลดน้อยมากๆ และต่อให้โหลดก็ยังใช้เวลาไม่เกิน 5-10 วินาทีเท่านั้น ทำให้ประสบการณ์การเล่นโดยรวมเป็นไปอย่างลื่นไหลทันใจยิ่งกว่าในภาค World อีกเกมเพลย์ถ้ามองในภาพกว้าง วงจรเกมเพลย์ของ Monster Hunter: Rise ก็ไม่ได้แตกต่างจากสูตรสำเร็จของเกมล่าแย้ทุกภาคที่ผ่านมา ผู้เล่นจะต้องเลือกใช้อาวุธ 1 ใน 14 ชนิดในการออกไปต่อสู้กับเหล่ามอนส์เตอร์หลากหลายชนิด เพื่อเก็บวัตถุดิบที่ได้จากพวกมันมาสร้างเป็นอาวุธและชุดเกราะที่ทรงพลังขึ้นเรื่อยๆ เพื่อออกไปรับมือกับแย้ที่ร้ายกาจขึ้นวนๆ กันไป โดยการต่อสู้ในภาค Rise ดูจะต่อยอดมาจากภาค World ทำให้ยังคงมีความคล่องแคล่วในแง่ของการเคลื่อนไหวมากกว่าภาคอื่นๆ แต่ในภาค Rise ได้มีการเพิ่มระบบการเล่นอันเป็นเอกลักษณ์ของเกมเข้าไปหลายอย่างที่ทำให้การออกล่าแต่ละครั้งรู้สึกดุเดือดเร้าใจและหลากหลายยิ่งกว่าในภาค World เสียอีกองค์ประกอบใหม่ที่สำคัญที่สุดในฝั่งของเกมเพลย์ทั้งการต่อสู้และการสำรวจ คงหนีไม่พ้นเหล่าแมลง Wire Bug ที่ทำให้ผู้เล่นสามารถพุ่งตัวไปมาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลต่อจังหวะจะโคนในการล่าแย้อย่างมีนัยยะสำคัญ เพราะทำให้ผู้เล่นมีทางเลือกในการหลบหลีกหรือหาช่องว่างในการโจมตีได้มากกว่าในภาค World ที่ผู้เล่นมักจะต้องรอให้เหล่ามอนส์เตอร์เป็นฝ่ายเปิดช่องให้ซะเอง แถมผู้เล่นยังสามารถใช้เหล่าแมลงพวกนี้ในการห้อยโหนและดึงตัวเองให้พุ่งไปในอากาศได้อย่างอิสระ ทำให้การสำรวจแผนที่ต่างๆ เพื่อหาความลับหรือเก็บทรัพยากรณ์ดำเนินไปอย่างรวดเร็วมากขึ้น ยิ่งเมื่อฝึกใช้ควบคู่กับระบบการปีนป่ายกำแพงที่เพิ่มเข้ามาใหม่จนคล่องนี่แทบจะเหมือนเล่นเกมไอ้แมงมุมอยู่อย่างไงอย่างงั้น แต่ความคล่องที่เพิ่มขึ้นของผู้เล่นก็ทำให้ผู้พัฒนาสามารถปรับให้เหล่ามอนส์เตอร์มีความดุดันและว่องไวมากขึ้นกว่าภาค World ไปด้วย แถมยังมีท่าโจมตีบางท่าที่จำเป็นต้องใช้ระบบ Wire Bug ในการหลบหลีกอีกด้วย จึงไม่ต้องเป็นกลัวว่าเกมจะหมดความท้าทายไปซะเลยเหล่าแมลง Wire Bugs ยังมอบความสามารถชนิดใหม่ที่เรียกว่า Silkbind Moves เข้ามา เปรียบเสมือนท่าพิเศษที่ช่วยเสริมความสามารถด้านต่างๆ ของผู้เล่นตั้งแต่การป้องกัน หลบหลีก หรือกระทั่งใช้โจมตีมอนส์เตอร์โดยตรงก็ยังได้ โดยอาวุธทั้ง 14 ชนิดจะมี Silkbind Moves ของตัวเองที่สามารถสลับสับเปลี่ยนได้เพื่อให้เข้ากับสไตล์การเล่นของผู้เล่นแต่ละคน ยกตัวอย่างเช่นอาวุธยอดนิยมอย่างดาบยาว (Long Sword) ที่สามารถใช้ท่า Soaring Kick เพื่อถีบตัวให้ลอยขึ้นไปและต่อเข้าท่าทิ้งตัวผ่ากบาลมอนส์เตอร์ได้ หรือจะเปลี่ยนเป็นท่า Sakura Slash เพื่อพุ่งตัวเป็นทางตรงผ่านศัตรูและสร้างความเสียหายหลายครั้งเป็นต้นผู้เล่นยังสามารถปรับเปลี่ยนท่าโจมตีในคอมโบธรรมดาของอาวุธด้วยระบบ Switch Skills ได้อีกด้วย ซึ่งอาจจะทำให้วิธีการเล่นอาวุธโดยรวมเปลี่ยนไปเลย ยกตัวอย่างเช่นอาวุธ Gunlance ที่สามารถสลับเอาท่าชาร์จกระสุน (Charged Shells) ออก เพื่อเปลี่ยนเป็นท่า Blast Dash ที่ทำให้ผู้เล่นสามารถพุ่งตัวโดยใช้หอกแทนไอพ่นได้ เป็นระบบที่ช่วยเพิ่มอิสระในการสร้างแนวทางการเล่นเฉพาะตัวให้กับเหล่านักล่าแต่ละคน เพราะต่อให้เล่นอาวุธแบบเดียวกัน แต่ถ้าเลือกใช้ท่า Switch Skills ไม่เหมือนกันก็อาจจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงไปเลยก็ได้เช่นกันอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่ถูกเพิ่มเข้ามาในภาคนี้คือเหล่าน้องหมา Palamute ที่จะสามารถติดสอยห้อยตามเราไปทำภารกิจนอกหมู่บ้านได้ควบคู่ไปกับน้องเหมียว Palico ของเรา โดยจุดเด่นของเหล่า Palamute คือการที่เราสามารถขึ้นขี่พวกมันเพื่อเดินทางไปมาในแผนที่ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่เสีย Stamina (ค่าความอึด) แถมมันยังช่วยเราต่อสู้กับเหล่าแย้ได้อีกด้วย ซึ่งการที่เกมเปิดให้เราสามารถพกเพื่อนเข้าไปในด่านได้พร้อมกันทีละ 2 ตัวตลอดเวลา ก็ส่งผลให้ภาค Rise มีความเป็นมิตรสำหรับคนที่เล่นคนเดียวมากขึ้น เพราะบางครั้งเหล่าเพื่อนสัตว์ของเราก็จะช่วยดึงความสนใจของศัตรูให้เรามีจังหวะได้พักหายใจอยู่บ้างทั้งนี้ ใช่ว่าการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในเกม Rise จะเป็นข้อดีไปซะหมด โดยในความเห็นของผู้เขียน Monster Hunter: Rise ได้ลดทอนความสำคัญของการสำรวจแผนที่ลงไปอย่างมาก จากการที่เกมจะบอกตำแหน่งของเหล่าแย้ทุกตัวทันทีที่เริ่มด่าน แทนที่จะให้ผู้เล่นต้องตามหารอยเท้าของมอนส์เตอร์ซะก่อนเหมือนในภาค World โดยแม้ว่าบางคนอาจจะมองเป็นข้อดีเพราะจะได้ไม่ต้องเสียเวลาวิ่งหามอนส์เตอร์ โดดลงมาถึงก็ซัดกันได้เลย แต่สำหรับผู้เขียนรู้สึกว่ามันทำให้เราไม่ค่อยมีแรงจูงใจที่จะสำรวจแผนที่ขนาดนั้น ซึ่งก็ทำให้รู้สึกว่า “ผูกพันธ์” กับสถานที่หรือโลกของเกมน้อยกว่าในภาค World และอาจทำให้ผู้เล่นหลายๆ คนไม่มีโอกาสได้ชื่นชมความงามของแต่ละด่านเท่าที่ควร ยิ่งไปกว่านั้น ผู้พัฒนาดูจะถอดระบบการเอาตัวรอดในเกมออกไปหมดเลย อย่างในภาค World เราอาจจะต้องพกยาชนิดต่างๆ เข้าไปเพื่อรับมือกับสภาพอากาศหนาวหรือร้อนในด่าน แต่ในภาคนี้เรากลับสามารถต่อสู้กัยมอนส์เตอร์ในถ้ำลาวาได้โดยไม่สะทกสะท้านอะไร ซึ่งก็ทำให้ตัวตนของแต่ละด่านรู้สึกเจือจางลงไปเหมือนกันสรุปแม้จะมีข้อจำกัดเล็กน้อยจากประสิทธิภาพที่น้อยกว่าของเครื่อง Nintendo Switch เมื่อเทียบกับภาคก่อนหน้าอย่าง World แต่ Monster Hunter: Rise ก็ทดแทนส่วนที่ขาดไปด้วยระบบเกมเพลย์หลายอย่างที่ทำให้เกมรู้สึก “เข้าถึงง่าย” สำหรับผู้เล่นใหม่มากขึ้น แถมยังมีการใส่ระบบจากภาคเก่าๆ เช่นระบบสกิลเกราะ (Armor Skill) แบบเก่าที่เปลี่ยนไปในภาค World ซึ่งก็น่าถูกใจเหล่านักล่าแย้ทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ไม่แพ้กัน ใครที่มีเครื่อง Nintendo Switch อยู่แล้ว และอยากลองลิ้มรสซีรีส์เกมสุดอมตะนี้ รับรองว่า Monster Hunter: Rise จะไม่ทำให้คุณผิดหวังว่าแน่นอน
30 Mar 2021